รู้จัก 3 เทคนิค วิธีคิดจากทฤษฎี Constructionism เพื่อพิชิตการเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด

Constructionism’ คืออะไร?
‘Constructionism’ คือ
การเน้นให้ผู้ศึกษาสร้างการเชื่อมโยงองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Learning by
doing) และนำไปต่อยอดพัฒนาหรือประยุกต์ใช้เข้ากับความรู้ในแขนงอื่น
ซึ่งหากคนที่ได้เคยศึกษาเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนการสอนคำนี้อาจจะพอคุ้นหูกันอยู่บ้าง
โดยทฤษฎีนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย Professor Seymour Papert นักคณิตศาสตร์หนึ่งในผู้ริเริ่มปัญญาประดิษฐ์จาก M.I.T.
โดยคุณ Papert
ได้นำทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
(Constructivism) จากนักจิตวิทยาทั้ง
2 ท่าน อย่างคุณ Jean
Piaget และคุณ David
Ausubel ที่กล่าวถึงการเชื่อมโยงความรู้ผ่าน
Cognitive apparatus ซึ่งคุณ Papert
ได้นำมาดัดแปลงเข้ากับการเรียนรู้ผ่านสื่อและเทคโนโลยีให้องค์ความรู้นั้นออกมาเป็นรูปธรรมมากขึ้น
กลายเป็นแนวคิดด้านการเรียนรู้ใหม่
จนกลายมาเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านชิ้นงาน หรือ
‘Constructionism’ นั่นเอง
ซึ่งการเรียนรู้แบบ
Constructionism มาจาก 2
กระบวนการ คือ
การแปลความหมายของสิ่งที่ได้เรียนรู้มา
จนสามารถนำไปสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นได้ด้วยตนเอง
และได้รับประสบการณ์การเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง จนนำไปสู่การพัฒนาสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ๆ โดยทั้งกระบวนการทั้งสองนี้มาจากรากฐานการเรียนรู้นี้มาจากการเรียนรู้แบบ Learning
by doing แทนที่จะพยายามยัดเยียดความรู้เข้าไปเพียงอย่างเดียว
การเรียนรู้แบบ
Learning by doing ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรับสารอย่างการอ่านหรือรับฟังเพียงอย่างเดียว
การเรียนรู้แบบนี้ยังรวมถึงการสังเกตอิริยาบถและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ อีกด้วย
แม้ในการเรียนรู้นั้นจะพบเจอกับข้อผิดพลาดบ้าง
แต่ก็สามารถที่จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้น
และพยายามแก้ไขจุดที่บกพร่องซ้ำไปเรื่อย ๆ
จนสามารถหาวิธีการแก้ปัญหานั้นได้ซ้ำเสร็จ กลายมาเป็นความรู้ใหม่ที่เราค้นพบด้วยตัวเองและช่วยให้เราเริ่มสังเกตความเป็นไปของสิ่งต่าง
ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
แล้วเราควรฝึกฝนให้เราเข้าใจความรู้ใหม่
ๆ แล้วนำไปต่อยอดได้ยังไงดี ? หากคุณเริ่มอยากลองวิธีการเรียนรู้แบบ
Constructionism นี้แล้ว ไปดู 3
เทคนิค ที่จะช่วยให้เราพัฒนาตัวเราให้แสวงหาความรู้ด้วยตัวเองกัน
3 เทคนิค
พิชิตการเรียนรู้แบบ Constructionism มีอะไรบ้าง ?
1. เข้าใจจุดแข็งและยอมรับจุดอ่อนของตัวเอง
เมื่อเรารู้ว่าตัวเรามีความสามารถตรงไหนเป็นพิเศษ
และพยายามนำมาอุดจุดอ่อนที่เปราะบาง ยกตัวอย่างเช่น
เราอาจจะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ เช่น ที่ประชุม หรือต้องนำเสนองาน
เพราะเรารู้สึกกดดันหรือมีประสบการณ์ที่ไม่ดีมาก่อน แต่เราเป็นคนที่ขยันอดทน
หากมีเป้าหมายก็อยากจะทำให้สำเร็จ
ดังนั้นเราลองตั้งจุดอ่อนนั้นให้กลายเป็นเป้าหมายแทน ยอมรับจุดอ่อนของตัวเองนี้ได้
กล้าเผชิญหน้า และหมั่นฝึกซ้อมทำซ้ำเดิมต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
เพื่อเอาชนะเป้าหมายนั้น
สุดท้ายแล้วเราจะค้นพบวิธีที่ช่วยให้เราคลายกังวลในแบบของเราเอง
หากยังไม่รู้ว่าจุดแข็งและจุดด้อยของตัวเองคืออะไร
สามารถนำการวิเคราห์ขั้นเบสิคที่สุดอย่างการวิเคราะห์ SWOT ที่ใช้ทางด้านธุรกิจมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ตัวตนของเราได้
ซึ่งการทำ SWOT Analysis นั้นกับตัวเราประกอบไปด้วย
- S :
Strength - จุดแข็งหรือข้อแตกต่างของตัวเราเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น
เช่น พรสรรค์ ทักษะที่เราเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็น Hard Skills หรือ Soft Skills ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นข้อแตกต่างให้เราโดดเด่นขึ้น
- W : Weakness
- จุดอ่อนหรือจุดที่เราคิดว่าสิ่งนี้เป็นข้อเสียเปรียบขอตัวเราเมื่อเทียบกับคนอื่น
อาจจะเป็นการที่เราไม่ถนัดในการทำหรือคิดอะไรบางอย่างก็ได้
แต่เรารู้สึกว่าสิ่ง ๆ นั้นเป็นข้อด้อยของตัวเราที่อยากจะพัฒนา
- O :
Opportunity - สถานการณ์หรือช่วงเวลาที่เป็นโอกาสที่สามารถช่วยให้เราเริ่มพัฒนา
หรือแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น
แล้วเราอยากจะไขว้คว้าโอกาสที่เข้ามาเหล่านั้นไว้
- T :
Threat - อุปสรรคที่ขัดขวางที่ขัดขวางเป้าหมายของเรา
หรือส่งผลกระทบแง่ลบต่อตัวเรา
เมื่อทำการวิเคราะห์
SWOT กับตัวตนของเรานั้น
ทำให้เรามีภาพจุดแข็งของตัวเราได้ชัดเจนขึ้น
รับรู้ว่าจุดไหนเป็นจุดอ่อนที่อยากจะแก้ไข
และควรจะเปิดรับโอกาสแบบไหนเพื่อที่จะช่วยส่งเสริมให้จุดแข็งของเรานั้นมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
รวมถึงจะเป็นโอกาสที่เราได้พัฒนาจุดอ่อนของเรา นอกจากนี้
เมื่อเรารับรู้ว่าสิ่งใดเป็นอุปสรรคต่อเรา เราจะได้เตรียมรับมือและป้องกันสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงทีนั่นเอง
2. เริ่มวางความคิดอย่างมีระบบ
และเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับฐานความรู้เดิม
ในการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่
เจอกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย
หรือความรู้ใหม่ที่พึ่งพบเจอที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
การคิดอย่างเป็นระบบนั้นมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้เราทำความเข้าใจกับสิ่งนั้นได้อย่างถ่องแท้
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำในระยะยาว ทำให้เรานำความรู้และประสบการณ์ใหม่มาเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์หรือนำมาผูกกับความรู้เดิมที่เรามีอยู่ได้ดียิ่งขึ้น
การจัดการความคิดอย่างเป็นระบบยังช่วยในเรื่องของการพูดและการกระทำ สามารถรับมือ
แก้ไขปัญหาและส่งเสริมการแสดงออกให้ไปในทิศทางเดียวกันกับคำพูดได้อีกด้วย
เราสามารถส่งเสริมกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ
หรือ Systematic Thinking ได้โดยเริ่มจาก
- หยุดตีกรอบความคิดแบบเดิม ๆ
ลองเปิดโอกาสที่จะรับรู้มุมมองใหม่อยู่เสมอ
ซึ่งอาจจะอิงจากฐานความรู้เดิมที่เรามีอยู่
- เริ่มที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งนั้น
พร้อมหาเหตุผลหรือทางเลือกต่าง ๆ ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น เช่น
การเปรียบเทียบข้อแตกต่างของผลลัพธ์ หรือนำข้อเท็จจริงมาประกอบการตัดสินใจ
- เชื่อมโยงใจความออกมาเป็นโครงสร้าง
เพื่อดูความสัมพันธ์และทิศทาง อาจทำในรูปของ Mind Map ซึ่งเมื่อเราเข้าใจที่มาและความสัมพันธ์เหล่านั้นจะช่วยให้เราสามารถจดเรื่องราว
หรือนำไปผูกกับความรู้เดิมที่เรามีอยู่ได้
- ฝึกที่จะเตรียมการล่วงหน้าในบางสิ่งที่สามารถคาดเดาได้
พยายามมองผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากแต่ละทางเลือก
ซึ่งอาจมาจากประสบการณ์ในอดีตที่ตัวเราเองพบเจอ
พอเราสามารถคิดเป็นระบบได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว
จะช่วยให้เราสามารถคิดได้เร็วมากขึ้น จากการที่เราเข้าใจความรู้นั้น ๆ
อย่างถ่องแท้ มีความรอบคอบ ก้าวทันปัญหาต่าง ๆ
และยังสามารถช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
3. เรียนรู้วิธีแสวงหาความรู้ด้วยตัวเองอย่างเหมาะสม
หากเราเป็นคนที่ไม่ชอบการอ่าน
หรือไม่สามารถจดจ่ออยู่กับอะไรนาน ๆ ได้
ลองปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับเรามากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยถกประเด็นกับผู้อื่น ดูคลิปวิดีโอหรือหนังให้ความรู้
หรือเรียนรู้จดจำเนื้อหาที่เป็นรูปภาพ เช่น เราอยากเรียนรู้ภาษาใหม่
แต่เรารู้ดีว่าตัวเราไม่สามารถนั่งท่องจำคำศัพท์นั้นจากหนังสือได้
เลยลองเปลี่ยนวิธีมาเป็นดูหนังที่ใช้ภาษานั้น พร้อมอ่านคำบรรยาย
เพื่อให้เราคุ้นชินกับสำเนียงหรือบทสนทนา หรือฟังเพลงภาษานั้นแล้วหาความหมายของเนื้อเพลงนั้นแทน
เพราะเหมาะกับวิธีการเรียนรู้ของเรามากกว่า
หรือหากต้องการหาความรู้เฉพาะด้านแต่ไม่ชอบที่จะอ่าน อาจจะลองใช้วิธีการฟังแทนอย่างการฟัง Podcast
หรือ Audio Book ต่าง ๆ เช่น แอปพลิเคชั่น Audible แทน
เมื่อเราได้วิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตัวเราแล้วนั้น
การจดจำความรู้นั้นก็เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อนำไปต่อยอดและประยุกต์ใช้ต่อ
สามารถฝึกฝนการจดจำความรู้ที่ได้รับมาต่าง ๆ ให้ดีขึ้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น
- ระหว่างอ่าน ฟัง หรือดู
พยายามจดจ่อกับสิ่งตรงหน้าและคิดตามไปกับความรู้นั้นให้มากขึ้น
เพื่อให้ความรู้ที่เราเก็บเกี่ยวอยู่ถูกจัดเก็บไว้ในความทรงจำได้อย่างถูกต้องชัดเจน
และสามารถดึงความรู้ออกมาใช้ต่อได้ในภายหลัง
- ลองเขียนสรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา
เพื่อระลึกย้อนกลับไปในความทรงจำนั้น แล้วนำสรุปนั้นมาอ่านทบทวนซ้ำ
ซึ่งในตอนที่ทำสรุปนั้นอาจจะจัดกลุ่มของข้อมูล
หรือวาดความสัมพันธ์ความเชื่อมโยงกันเพิ่มลงไปด้วย
- นำคำบางคำหรือประโยคบางอย่างที่มีความหมายเดียวกัน
หรือตรงกันกับความรู้เดิมของเรามาผูกเข้าไว้ด้วยกันในแบบของตัวเรา
การที่เป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือไม่ใช่เรื่องที่ผิด
แต่แค่เราอาจจะไม่เหมาะกับวิธีการเรียนรู้แบบนั้น
เมื่อเราหาวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตัวเราเจอ
เพียงเท่านี้เราก็สามารถเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้ได้ในแบบของตัวเอง
พร้อมทั้งช่วยให้เราสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีและถาวรมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
และข่าวสาร